Treat Symptoms | Thai Traditional Medicine

เลือกบริเวณที่มีอาการ

ตำรับยา

ยาแก้โกฏฐาสยาวาตอติสาร

X

สรรพคุณ

แก้ท้องเสีย เนื่องจากอาหารไม่ย่อย

สูตร

กะทือ 1 ส่วน การบูร 1 ส่วน โกฐกระดูก 1 ส่วน โกฐเชียง 1 ส่วน โกฐพุงปลา 1 ส่วน โกฐสอ 1 ส่วน โกฐหัวบัว 1 ส่วนขิง 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ไพล 1 ส่วน มหาหิงคุ์ 1 ส่วน ลูกจันทน์ 1 ส่วน ว่านนางคำ 1 ส่วน ว่านร่อนทอง 1 ส่วน สมอเทศ 1 ส่วน สมอไทย 1 ส่วน

รูปแบบยา

ยาเม็ดพิมพ์

วิธีปรุงยา

-

ขนาดและวิธีใช้

ครั้งละ 0.6-1 กรัม ละลายน้ำต้มแกแลกินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าและเย็น

ข้อห้ามใช้

-

ข้อควรระวัง

-

อาการไม่พึงประสงค์

-

คำเตือน

-

ข้อมูลเพิ่มเติม

ตัวยามหาหิงคุ์ต้องสะตุก่อนนำไปใช้ โดยนำมหาหิงคุ์ใส่หม้อดิน เอาใบกะเพราแดงใส่น้ำต้มจนเดือด เทน้ำใบกะเพราแดงขณะร้อน ๆ ลงในหม้อดินเพื่อละลายมหาหิงคุ์ แล้วกรองให้สะอาด จึงนำมาปรุงยาได้

ประสะ เมื่ออยู่ในชื่อยา คำ ประสะ มีความหมาย ๒ อย่าง คือ ทำให้สะอาด บริสุทธิ์ หรือมีมากขึ้น เช่น ยาประสะน้ำนม หมายถึง ยาที่ทำให้น้ำนมสะอาดขึ้น อีกความหมายหนึ่งคือ มีส่วนผสมเท่ายาอื่นทั้งหมด เช่น ยาประสะกะเพรา หมายความว่า ยานั้นมีกะเพราเท่าตัวยาอื่นทั้งหมดรวมกัน แต่ในความหมายที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวยาก่อนนำไปใช้ปรุงยานั้น คำ ประสะ หมายถึง การทำให้พิษของตัวยานั้นลดลง เช่น ประสะยางสลัดได ยางตาตุ่ม ยางหัวเข้าค่า

ยาไทย หรือ ยาแผนไทย มักใช้เป็นยาตำรับ ซึ่งแต่ละตำรับประกอบด้วยตัวยาต่าง ๆ ในการเตรียมตัวยา เพื่อใช้ปรุงยาตามตำรับยานั้นมีความสำคัญมาก เนื่องจากตัวยาสมุนไพรหลายชนิดต้องผ่านกระบวนการบางอย่างก่อนที่แพทย์ปรุงยาจะนำมาใช้ปรุงยาได้ ทั้งนี้ เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์แรงเกินไป ไม่สะอาด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค มีปริมาณความชื้นมากเกินไป หรือมีพิษมาก จึงต้องผ่านกระบวนการประสะ สะตุ และฆ่าฤทธิ์เสียก่อนเพื่อความปลอดภัยในการนำมาใช้

สะตุ ในศาสตร์ด้านเภสัชกรรมแผนไทย คำ สะตุ อาจหมายถึง ทำให้ตัวยาแห้งและมีฤทธิ์แรงขึ้น (เช่น การสะตุสารส้ม), ทำให้พิษของตัวยาลดลง (เช่น การสะตุหัวงูเห่า), ทำให้ตัวยาแห้งและปราศจากเชื้อ (เช่น การสะตุดินสอพอง) หรือทำให้ตัวยานั้นสลายตัวลง (เช่น การสะตุเหล็ก)

ฆ่าฤทธิ์ หมายถึง ทำให้ความเป็นพิษของเครื่องยาบางอย่างลดลงหรือหมดไป จนนำไปใช้ปรุงยาได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา มักใช้กับตัวยาที่มีพิษมาก เช่น ลูกสลอด สารหนู ปรอท ชาด หรือใช้กับตัวอย่างที่ไม่มีพิษ เช่น ชะมดเช็ด ซึ่งเป็นการฆ่ากลิ่นฉุนหรือดับกลิ่นคาว ทำให้มีชะมดเช็ดมีกลิ่นหอม

>

ยาต้มเป็นรูปแบบการปรุงยาแผนโบราณที่แพทย์แผนไทยนิยมใช้กันมากรูปแบบหนึ่ง การปรุงยารูปแบบนี้มีการจัดเตรียมตัวยาได้ทั้งสดและแห้ง นำตัวยาหลากหลายชนิดมาประสมกัน ต้มเดือด หรือเคี่ยว รินกินน้ำ โดยทั่วไปโบราณจะใช้หม้อดินเผาใหม่ ๆ ต้มยา ไม่ใช้หม้อที่ทำด้วยโลหะต่าง ๆ เช่น หม้อทองแดง หม้ออะลูมิเนียม เพราะทำให้ฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป หรือมีโลหะปนเปื้อนยา ปัจจุบันนิยมใช้หม้อสเตนเลส หรือหม้อเคลือบตั้งต้มบนเตาแก๊ส ไม่ใช้หม้อดินเพราะแตกง่ายเนื่องจากไม่มียางฟืนผสานก้นหม้อเครื่องยาที่นำไปใช้ตามตำรับนั้นต้องทำความสะอาดโดยการปัดฝุ่น ล้างน้ำ นำไปผึ่งลมให้แห้ง แล้วย่อยขนาดให้เหมาะสมสำหรับต้มให้น้ำซึมซาบไปในเนื้อตัวยาและดึงตัวยาสำคัญออกมาได้ แล้วนำตัวยาไปใส่ในหม้อต้มขนาดพอเหมาะ เติมน้ำพอท่วมยา นำตั้งเตาต้มให้เดือดด้วยไฟกลางประมาณ 15 นาที ดับไฟ ยกหม้อลงจากเตารินเอาน้ำดื่ม

รูปแบบยาต้มแบ่งออกเป็น 4 วิธี

วิธีที่ 1การต้มให้เดือดด้วยไฟแรงก่อนแล้วลดอุณหภูมิลงโดยใช้ไฟอ่อน ๆ ต้มต่อไปอีก 10-15 นาที กรองเอาส่วนที่เป็นน้ำมาดื่ม

วิธีที่ 2การต้มเคี่ยวด้วยไฟอ่อน คือ การต้มโดยใช้ไฟอ่อน ๆ ใช้เวลา 20-30 นาทีกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมาดื่ม

วิธีที่ 3ยาต้มเคี่ยวไฟกลาง ต้มสามเอาหนึ่ง คือ เติมน้ำใส่ตัวยา 3 ส่วน ต้มให้เหลือน้ำเพียง 1 ส่วน รินเอาแต่น้ำเก็บไว้ วิธีการต้มแบบนี้นิยมใช้กับตำรับยาเล็ก ๆ ส่วนตำรับยาที่มีตัวยาประสมมาก ๆ นิยมนำยามาต้มซ้ำแบบเดิม 3 ครั้ง นำน้ำยาทั้งหมดมารวมกันแบ่งเอาแต่น้ำดื่ม

วิธีที่ 4การต้มยาในระดับอุตสาหกรรม ต้มให้เดือดด้วยไฟแรงก่อนแล้วลดอุณหภูมิลงโดยใช้ไฟอ่อน ๆ ต้มต่อไปอีก 10-15 นาที กรองเอาส่วนที่เป็นน้ำ แล้วให้เติมน้ำต้มสุกปรับเพิ่มปริมาตรยาเท่ากับปริมาตรน้ำเริ่มต้น

กระบวนการผลิตยาต้ม

1. นำเครื่องยาที่ใช้ตามตำรับยามาทำความสะอาด ด้วยการคัดแยกสิ่งแปลกปลอมออกจากตัวยาที่ไม่สามารถล้างด้วยน้ำได้ และคัดแยกสิ่งที่ปนเปื้อนมากับตัวยา เช่น นำไปล้างน้ำทำความสะอาดเอาดิน ฝุ่นผงและสิ่งสกปรกอื่น ๆ ออกจากตัวยา นำตัวยาที่คัดแยกเอาสิ่งแปลกปลอมและปนเปื้อนออกเรียบร้อยแล้วไปผึ่งลมให้แห้ง

2. ย่อยขนาดของสมุนไพรให้มีขนาดพอเหมาะสำหรับต้ม เพื่อให้น้ำสามารถซึมซาบเข้าไปในตัวยาและดึงเอาสารสำคัญออกมาได้

3. นำเครื่องยาปริมาณตามตำรับยามาต้มน้ำตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละตำรับ

4. กรองแยกกากออกด้วยผ้าขาวบางจะได้ส่วนยาน้ำที่ผ่านการกรอง

5. สารปรุงแต่งในตำรับ (ถ้ามี)

5.1. สารปรุงแต่งที่เป็นของแข็ง เช่น การบูร พิมเสน ดีเกลือ ให้แทรกละลายน้ำยาที่ได้จากข้อ 4
5.2. สารปรุงแต่งที่เป็นของเหลว เช่น น้ำผึ้ง ให้แทรกผสมกันกับยาน้ำที่ได้จากข้อ 4

6. บรรจุยาลงในภาชนะที่เหมาะสม

ยาผงเป็นยาเตรียมแผนโบราณรูปแบบหนึ่ง ยาเตรียมแบบนี้อาจใช้กินโดยตรง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ หรืออาจแทรกด้วยกระสายบางอย่างเพื่อช่วยให้กินยาได้ง่ายขึ้น การเตรียมยาผงอาจทำได้โดยการนำตัวยาต่าง ๆ ตามชนิดและปริมาณ/ปริมาตรที่ระบุหรือกำหนดไว้ในตำรับยามาผสมกัน จากนั้นนำยาที่ได้ไปบดให้ละเอียดโดยใช้เครื่องมือสำหรับบดยาชนิดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม หรือนำไปบดด้วยเครื่องบดยาสมุนไพรที่ใช้กระแสไฟฟ้าจากนั้นนำผงยาที่ได้ไปแร่งผ่านตะแกรงหรือแร่งที่เหมาะสม โดยทั่วไปมักใช้แร่งเบอร์ 100, เบอร์ 80 หรือเบอร์ 60 จนได้ยาผงที่มีขนาดตามต้องการ

กระบวนการผลิตยาผง

1. การทำให้แห้งก่อนนำไปย่อยขนาด มีหลักการปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.1 ต้องทำความสะอาดวัตถุดิบสมุนไพรอย่างเหมาะสม จากนั้นให้นำเข้าสู่กระบวนการทำให้แห้งโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันการเน่า และเพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์
1.2 ควรย่อยขนาดให้เหมาะสมเท่า ๆ กัน ก่อนนำไปทำให้แห้ง
1.3 ไม่วางสมุนไพรซ้อนกันจนหนาเกินไป และควรเกลี่ยชิ้นส่วนของสมุนไพรให้สม่ำเสมอ
1.4 ใช้อุณหภูมิที่เหมาะสมกับชนิดและส่วนของสมุนไพร เพื่อคงกลิ่น รส และสารสำคัญของสมุนไพรไว้
1.5 บริเวณที่ปฏิบัติงานควรสะอาด ถูกสุขลักษณะ มีการถ่ายเทอากาศที่ดี เพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์

2. การย่อยขนาดหรือการบดผง เครื่องมือที่ใช้มีอยู่หลายประเภท เช่น เครื่องบดแบบค้อน (hammer mill) เครื่องบดแบบตัด (cutting mill) ซึ่งใช้ในการย่อยขนาดของสมุนไพรแห้งและสมุนไพรสดตามลำดับ นอกจากเครื่องมือที่ใช้การย่อยขนาดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

2.1 สมุนไพรที่นำไปย่อยต้องถูกชนิด ถูกส่วน สะอาด ไม่มีหิน ดิน และทรายปนเปื้อน
2.2 ต้องลดความชื้นของสมุนไพรเพื่อให้ย่อยขนาดได้ง่าย ไม่เหนียว เช่น มีความชื้นน้อยกว่า ร้อยละ 5 ของสมุนไพรแห้ง จะทำให้บดสมุนไพรได้ง่ายขึ้น
2.3 ในกรณีที่ต้องการผงยาสมุนไพรละเอียดมาก ไม่ควรบดสมุนไพรให้ละเอียดทั้งหมดในครั้งเดียว แต่ควรมีการแร่งเป็นระยะ ๆ กล่าวคือ เริ่มจากแร่งเบอร์เล็กก่อน จากนั้นนำไปบดซ้ำและ เปลี่ยนเป็นแร่งเบอร์ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ขนาดที่ต้องการ
2.4 สมุนไพรที่มีเส้นใยสูง เช่น เถาวัลย์เปรียง ควรตัดหรือสับให้มีขนาดเล็กลงก่อน แล้วจึงน้ำไปบดด้วยเครื่องบด
2.5 ในกรณีที่ต้องบดสมุนไพรหลายชนิดรวมกัน เช่น ในสูตรตำรับยาหอม ให้ใส่สมุนไพรที่บดยากลงไปบดก่อน
2.6 อัตราการป้อนสมุนไพรเข้าเครื่องบดต้องสัมพันธ์กับความสามารถในทำงานของเครื่อง
2.7 การบดสมุนไพรที่ละเอียดมากอาจเกิดความร้อนขึ้นได้ง่าย จึงควรหยุดพักการทำงานของเครื่องเป็นช่วง ๆ หรือหาวิธีการลดความร้อนที่เหมาะสม
2.8 ถ้าในสูตรตำรับมีตัวยาสมุนไพรหลายชนิด ต้องทำให้ตัวยาสมุนไพรแต่ละชนิดกระจายอย่างสม่ำเสมอก่อนนำไปบรรจุ หากใช้วิธีบดพร้อมกันต้องบดให้ละเอียด มีขนาดเท่ากันทั้งหมด ไม่มีส่วนใดเหลือ ในกรณีที่แยกบด ต้องบดผ่านแร่งที่มีขนาดเดียวกัน แล้วนำไปผสมในเครื่องผสมในเวลาที่เหมาะสมจนผงยาเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งนี้ให้ศึกษาการกระจายตัวของผงยาสมุนไพรในวิธีการที่ผลิตด้วย
2.9 บริเวณที่บดสมุนไพร ต้องควบคุมให้ถูกสุขลักษณะเพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์
2.10 บุคลากรที่ปฏิบัติงานจะต้องผ่านการฝึกอบรมทั้งด้านการปฏิบัติการเภสัชกรรมที่ดี และความปลอดภัยในโรงงาน เนื่องจากต้องทำงานกับเครื่องจักรกล

3. การบรรจุ

3.1 ห้องที่ทำการบรรจุต้องสะอาด มีการควบคุมความชื้น และการฆ่าเชื้อที่เหมาะสม ถ้าเป็นไปได้ควรบรรจุในห้องที่ควบคุมความดันอากาศเป็นบวก
3.2 เครื่องบรรจุมีความเหมาะสมในการบรรจุผงยาสมุนไพรสู่ซองหรือภาชนะบรรจุได้ตามปริมาณที่กำหนดไว้

ยาแคปซูลเป็นรูปแบบยาเตรียมสมัยใหม่ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตให้ใช้กับยาแผนโบราณไทยได้

แคปซูลแบ่งเป็น 2 ประเภท

1. แคปซูลชนิดแข็ง (hard gelatin capsule)เป็นแคปซูลที่มีปลอก 2 ส่วน คือ ส่วนตัว (body) และส่วนฝา (cap)

2. แคปซูลชนิดนิ่ม (soft gelatin capsule)เป็นแคปซูลที่ต้องใช้เครื่องผลิตเฉพาะ ส่วนใหญ่ใช้บรรจุยาที่มีลักษณะเป็นน้ำมัน ของเหลว ของกึ่งแข็ง เป็นต้น

ในการเตรียมยาแผนไทยหรือยาสมุนไพรนั้น ส่วนใหญ่จะบรรจุผงยาสมุนไพรในแคปซูลชนิดแข็งโดยมีวิธีการเตรียมตัวยาสมุนไพรที่ใช้บรรจุแคปซูลคล้ายกับการเตรียมตัวยาเพื่อตอกยาเม็ด แต่อาจใช้ผงยาที่บดละเอียดและผ่านแร่งแล้วผสมกับสารช่วยอื่น ๆ จากนั้นนำเข้าสู่กระบวนการบรรจุแคปซูลโดยไม่ต้องเตรียมเป็นแกรนูล (granule) ก่อน

การเตรียมยาแคปซูลสำหรับยาสมุนไพรหรือยาแผนไทยนั้น มักใช้แคปซูลขนาดเบอร์ 1, เบอร์ 0, เบอร์ 00 และเบอร์ 000 (โดยมีขนาดแคปซูลจากเล็กไปใหญ่) ดังแสดงในตาราง ต่อไปนี้

กระบวนการผลิตยาแคปซูล

1. เตรียมอุปกรณ์การผลิตให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีการทำความสะอาดที่เหมาะสม

2. เตรียมผงยาสมุนไพร (ผงยาผ่านแร่งอย่างน้อยเบอร์ 80) และองค์ประกอบอื่นอย่างเหมาะสม เช่น การย่อยขนาด การผสมของผงยาสมุนไพรหรือสารช่วยในแต่ละสูตรตำรับให้กระจายตัวสม่ำเสมอ

3. วัดปริมาณความชื้นของผงยาสมุนไพรผสม หากความชื้นเกินกว่าร้อยละ 5 ให้อบผงยาสมุนไพรผสมอีกครั้ง โดยใช้อุณหภูมิ 40-60 องศาเซลเซียส นาน 4-6 ชั่วโมง

4. บรรจุผงยาสมุนไพรลงในแคปซูลด้วยเครื่องบรรจุแคปซูล

5. สุ่มตรวจค่าความผันแปรของน้ำหนักยาสมุนไพร หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ให้หยุดการผลิต และดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน ถ้าเป็นไปตามข้อกำหนดให้ดำเนินการในข้อถัดไป

6. นำยาแคปซูลที่บรรจุได้ไปทำความสะอาดเพื่อกำจัดผงยาสมุนไพรที่เกาะติดอยู่ที่เปลือกด้านนอก ของยาแคปซูลสมุนไพร ถ้าผลิตยาแคปซูลสมุนไพรจำนวนน้อย อาจใช้ผ้าสะอาดเช็ดเบา ๆ ที่เปลือก ด้านนอกของยาแคปซูลสมุนไพร ส่วนในระดับอุตสาหกรรมให้ใช้เครื่องขัดแคปซูล ซึ่งประกอบด้วย ขนแปรงที่หมุนตลอดเวลาและต่อเข้ากับเครื่องดูดฝุ่น เพื่อปัดฝุ่นและดูดฝุ่นออกจากยาแคปซูลที่ไหลผ่านเครื่องตั้งแต่เข้าจนออก

ยาเม็ดเป็นยาเตรียมรูปแบบหนึ่ง ตำราเภสัชกรรมแผนโบราณของไทยให้วิธีการปรุงยาเตรียมรูปแบบนี้ไว้รวมกับยาผงว่า เตรียมจาก “ยาตากแห้งประสมแล้ว บดเป็นผงละเอียด ปั้นเม็ดหรือใช้ในรูปยาผง” การทำยาเม็ดแบ่งได้ 2 วิธี ได้แก่ การใช้แบบพิมพ์ด้วยมือ และการใช้เครื่องตอกยาเม็ด

การใช้แบบพิมพ์ด้วยมือ

การทำยาเม็ดด้วยวิธีนี้ จะต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อน โดยนำแบบพิมพ์ยาเม็ดและกระจกแผ่นใสวางลงในกะละมังขนาดใหญ่ เทราดด้วยน้ำเดือดจนทั่ว เช็ดให้แห้งสนิทด้วยผ้าสะอาด ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งให้แอลกอฮอล์ระเหยก่อนนำไปใช้พิมพ์ยาเม็ด จากนั้นวางกระจกแผ่นใสบนโต๊ะ แล้ววางแบบพิมพ์ยาเม็ดลงบนแผ่นกระจกใส

อุปกรณ์

1. แบบพิมพ์ยาเม็ด (แบบทองเหลือง)
2. แผ่นกระจกใส 1 แผ่น
3. กาต้มน้ำ
4. ผ้าผืนเล็ก
5. ถาดใส่ยาเม็ด
6. แป้งมัน
7. กะละมัง
8. แอลกอฮอล์
9. สำลี

กระบวนการผลิตยาเม็ดแบบพิมพ์ด้วยมือ

1. กวนแป้งมันกับน้ำเดือดให้เป็นแป้งเปียกใส นำผงยามาคลุกเคล้ากับแป้งเปียกใสในสัดส่วนที่พอเหมาะจนเข้ากันดี
2. นำผงยาที่ผสมกันแล้วมาแผ่บนแผ่นกระจก แล้วนำแบบพิมพ์ยาเม็ดกดลงบนยา
3. กดยาที่พิมพ์แล้วออกจากแบบพิมพ์ยาเม็ด ใส่ถาดที่เตรียมไว้
4. นำไปตากแดดจัด หรือเข้าตู้อบไฟฟ้าซึ่งตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 50-55 องศาเซลเซียส นานราว 5-6 ชั่วโมง
5. นำยาเม็ดที่ได้เก็บใส่ขวดโหลแก้วที่สะอาด ปิดฝาให้มิดชิด

การใช้เครื่องตอกยาเม็ด

เม็ดตอกอัด (compressed tablet) เป็นรูปแบบยาเตรียมที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้นำมาใช้กับยาแผนไทยได้ เพื่อพัฒนายาแผนไทยให้มีมาตรฐาน ง่ายต่อการตรวจสอบ และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในการผลิตยาเม็ดตอกอัดนั้น จำเป็นต้องมีส่วนผสมอื่นนอกจากองค์ประกอบอันเป็นตัวยาสำคัญ ได้แก่ สารทำเจือจาง (diluent), สารยึดเกาะ (binder), สารช่วยไหล (glidant), สารหล่อลื่น (lubricant), สารต้านการยึดติด (antiadherent), สารช่วยแตกตัว (disintegrant), สารลดแรงตึงผิว (surfactant) และสารดูดซับ (adsorbent)

กระบวนการผลิตยาเม็ดตอกอัดด้วยเครื่องตอกยาเม็ด มี 2 วิธี

1. การตอกโดยตรง (direct compression)

1.1 นำผงยาและสารช่วยต่าง ๆ ในตำรับยา ผ่านแร่งความละเอียดอย่างน้อยเบอร์ 80 ชั่ง ตามสูตรตำรับ
1.2 ผสมผงยาและสารช่วยทั้งหมดเข้าด้วยกัน
1.3 นำไปตอกด้วยเครื่องตอกยาเม็ด ได้เป็นยาเม็ดออกมา
1.4 นำไปบรรจุภาชนะ

2. ตอกยาเม็ดด้วยการทำแกรนูล (granulation)

2.1 นำผงยาและสารช่วย เช่น สารทำเจือจาง สารช่วยแตกตัว ผสมแห้งด้วยเครื่องผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
2.2 เตรียมสารละลายสารยึดเกาะตามสูตรตำรับ ผสมเปียกในสารผสมข้อ 2.1 จนได้เป็นสารที่จับตัวกันเป็นก้อน
2.3 นำมาแร่งเปียกด้วยเครื่องแร่งเปียก ได้เป็นแกรนูลเปียก
2.4 นำแกรนูลเปียกมาอบแห้งด้วยตู้อบไฟฟ้าจนได้เป็นแกรนูลแห้ง
2.5 นำแกรนูลแห้งมาแร่งแห้ง และผสมสารช่วย เช่น สารช่วยไหล สารต้านการยึดติด สารหล่อลื่นให้เข้ากัน
2.6 นำสารผสมที่ได้ในข้อ 2.5 ตอกด้วยเครื่องตอกยาเม็ดได้เป็นยาเม็ดออกมา
2.7 นำไปบรรจุภาชนะ

ยาลูกกลอนเป็นยาเตรียมที่มีรูปร่างกลม อาจทำจากผงยาชนิดเดียวหรือผงตัวยาหลายชนิดที่ผสมปรุงตามตำรับยา โดยมีน้ำกระสายยาทำให้ผงยาเกาะติดกัน เช่น น้ำต้มสุก น้ำผึ้ง น้ำแป้ง น้ำข้าวเช็ด น้ำมะกรูด น้ำเปลือกมะรุม โดยทั่วไปนิยมใช้น้ำผึ้ง ตำรายาแผนโบราณไทยให้วิธีการปรุงยาเตรียมรูปแบบนี้ไว้ว่า “ยาตากแห้ง ประสมแล้ว บดเป็นผงละเอียด ปั้นเป็นลูกกลอน”

องค์ประกอบในการผลิตยาลูกกลอน

การผลิตยาลูกกลอนให้ได้คุณภาพต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 ประการ

1. ผงยาสมุนไพร คุณลักษณะของผงยาสมุนไพรแต่ละชนิดมีความสำคัญต่อการผลิตยาลูกกลอนแตกต่างกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องมีดังต่อไปนี้

1.1 ลักษณะผงยาสมุนไพรที่จะทำให้ผลิตยาลูกกลอนได้ดี จะต้องเป็นผงยาสมุนไพรที่ละเอียด ผ่านแร่งขนาดเบอร์ 60-100
1.2 คุณลักษณะเฉพาะตัวของสมุนไพรที่ใช้มีผลต่อการผลิตยาลูกกลอน เช่น ถ้าส่วนของสมุนไพรนั้นมีแป้งอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เหง้าของขมิ้น ไพล เปราะหอม รากระย่อมน้อย ผลกล้วย เมล็ดเทียนต่าง ๆ จะทำให้การผลิตยาลูกกลอนทำได้ง่าย เนื่องจากสมุนไพรมีการเกาะตัวกันได้ดี ทำให้ปั้นเป็นลูกกลอนได้สะดวก ไม่ต้องใช้สารยึดเกาะจำนวนมาก แต่ถ้ามีส่วนผสมของเปลือก แก่น ใบ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีแป้ง จะมีปัญหาการไม่เกาะตัวของสมุนไพร ทำให้ปั้นเม็ดได้ยาก ซึ่งอาจแก้โดยบดผงยาสมุนไพรให้ละเอียดขึ้น และใช้สารยึดเกาะช่วยในปริมาณที่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาการไม่แตกตัวหรือแตกตัวช้าของยาลูกกลอน

2. สารยึดเกาะ

สารยึดเกาะที่ใช้ในการผลิตยาลูกกลอนนิยมใช้น้ำผึ้งหรือน้ำผึ้งเทียมน้ำผึ้ง เป็นของเหลว เหนียว ใส สีเหลืองหรือเหลืองปนน้ำตาล หนักกว่าน้ำ คือมีน้ำหนัก 1.3-1.5 กิโลกรัมต่อปริมาตร 1 ลิตร น้ำผึ้งเป็นผลิตผลจากน้ำหวานของดอกไม้ ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของน้ำผึ้ง ได้แก่ แหล่งผลิตและฤดูกาล แต่โดยทั่วไป น้ำผึ้งแท้ประกอบด้วยน้ำตาลอินเวิร์ต (invert sugar) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 มีน้ำตาลซูโครส (sucrose) น้อยมาก ไม่เกินร้อยละ 10 นอกจากนี้ ยังมีน้ำตาลเดกซ์โทรส (dextrose) และฟรักโทส (fructose) ในปริมาณใกล้เคียงกันน้ำผึ้งเทียม ส่วนผสมของน้ำผึ้งเทียมส่วนใหญ่ คือ น้ำตาลแบะแซ หรือ น้ำเชื่อมกลูโคส (glucose syrup) ได้มาจากการย่อยแป้งมันสำปะหลังหรือแป้งข้าวโพดได้เป็นน้ำตาลกลูโคสชนิดหนึ่ง บางชนิดมีแป้งผสมอยู่ซึ่งจะช่วยทำให้การเกาะตัวดีขึ้น แต่มีข้อเสียคือ เก็บได้ไม่นานเมื่อเทียบกับน้ำผึ้ง เกิดการบูด มีกลิ่นเปรี้ยว นอกจากนี้ ยาลูกกลอนที่ใช้น้ำผึ้งเทียมในการยึดเกาะ จะคงตัวไม่ได้นาน และขึ้นราได้ง่าย นอกจากนี้ อาจใช้น้ำเชื่อมและแป้งเปียกเป็นส่วนช่วยสารยึดเกาะได้อีกด้วย

3. เครื่องมือการผลิต

เครื่องมือที่ใช้ผลิตยาลูกกลอนขึ้นอยู่กับขนาดของการผลิต ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยทั่วไปประกอบด้วยเครื่องมืออย่างน้อย 4 เครื่อง ได้แก่ - เครื่องผสม - เครื่องรีดเส้น - เครื่องตัดเม็ด - เครื่องปั้นเม็ด ที่มีส่วนประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ เครื่องกลิ้งเม็ดให้กลม หม้อเคลือบ และเครื่องอบแห้ง

กระบวนการผลิตยาลูกกลอน

1. เตรียมเครื่องมือให้สะอาดอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

2. เตรียมส่วนผสมให้เป็นไปตามสูตรตำรับ

3. เตรียมผงยาสมุนไพรก่อนการผลิตให้เหมาะสม เช่น การทำความสะอาด การทำให้แห้ง การย่อย ขนาด การผสมให้เข้ากัน

4. ผลิตตามรูปแบบของเครื่องมือการผลิตของแต่ละสถานที่ผลิต โดยยึดแนวทางการทำให้ได้ยาลูกกลอนที่ดี ซึ่งมีข้อควรระวังในขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

4.1 การผสมเปียก ต้องมีความระมัดระวังรอบคอบทุกขั้นตอน การผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ขึ้นอยู่กับเครื่องมือ สารยึดเกาะที่ใช้ และระยะเวลาใช้ผสม
4.2 การรีดเส้น ต้องรีดเส้นให้มีความหนาแน่นของเนื้อยาสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้เม็ดยาที่มีขนาดใกล้เคียงกันเมื่อนำไปตัดเม็ด
4.3 การตัดเม็ด
4.4 การปั้นเม็ดกลม
4.5 การกลิ้งเม็ดให้กลม นิยมใช้แป้งข้าวโพดหรือผงยาโปรยลงไปในบริเวณที่กลิ้งเม็ดยาเพื่อไม่ให้ยาลูกกลอนติดกัน
4.6 การอบแห้ง ต้องอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด
4.7 การเคลือบ ซึ่งต้องมีความชำนาญอย่างมาก เพื่อไม่ให้ความชื้นในเม็ดยาออกมาข้างนอก และไม่ให้ความชื้นจากข้างนอกเข้าไปในเม็ดยาลูกกลอน ทั้งยังทำให้เม็ดยาลูกกลอนเงางาม น่ากิน

ขั้นตอนการผลิตยาลูกกลอน

ยาน้ำมันเป็นยาเตรียมรูปแบบหนึ่ง วิธีการปรุงยาเตรียมจากยาสดหรือแห้ง เมื่อผสมแล้วบดเป็นผงหยาบ หุงด้วยน้ำมัน ยาน้ำมันใช้เป็นยาภายในและยาภายนอกได้ น้ำมันที่ใช้ในการปรุงยามักเป็นน้ำมันพืช (ที่ใช้มากได้แก่น้ำมันงา และน้ำมันมะพร้าว) น้ำมันเนย นม หรือไขสัตว์ ผสมกับตัวยาตามตำรับ ตัวยาที่มีน้ำมากให้บีบเอาแต่น้ำ ส่วนตัวยาที่แห้งหรือมีน้ำเป็นส่วนประกอบน้อยมากจะบดเป็นผงแล้วผสมน้ำให้พอเปียก เมื่อผสมกับน้ำมันพืชหรือไขสัตว์แล้วก็หุงเคี่ยวให้เหลือแต่น้ำมัน เมื่อได้น้ำมันแล้วอาจรินเอาน้ำมันเก็บไว้ใช้ หรือเก็บน้ำมันแช่ตัวยาไว้เมื่อจะใช้ก็ตักเอาแต่น้ำมันมาใช้

กระบวนการผลิตยาน้ำมัน

1. นำสมุนไพรในสูตรตำรับมาหั่นบาง ๆ

2. เคี่ยวในน้ำมัน โดยใช้ไฟกลาง ระวังไม่ให้ชิ้นส่วนสมุนไพรไหม้

3. เติมส่วนประกอบอื่น ๆ ในสูตรตำรับที่ต้องใช้ความร้อนช่วยละลาย ลงไปในระหว่างการเคี่ยว เช่น กำยาน สีเสียด จุนสี

4. กรองโดยใช้ผ้าขาวบาง เพื่อเก็บน้ำมันที่ได้จากการเคี่ยว

5. เติมส่วนประกอบในตำรับ (ที่ไม่ต้องใช้ความร้อนช่วยละลาย) ลงไปในน้ำมัน ตามข้อ 4 เช่น พิมเสน การบูร

6. บรรจุในภาชนะที่เหมาะสม

ตำราเภสัชกรรมแผนโบราณของไทยใช้วิธีการปรุงยาพอกจากสมุนไพรสดหรือสมุนไพรแห้งไว้ว่าเตรียมจาก“ยาประสมแล้ว ตำให้แหลก ใช้พอกบริเวณที่ต้องการ” โดยการนำสมุนไพรมาประสม ตำให้แหลกนำมาสุมหรือพอกบริเวณที่ต้องการ มีตั้งแต่พอกฝี พอกเข่าแก้ปวด พอกหัวแม่เท้าให้ตาสว่าง หรือสุม เช่น กระหม่อม

กระบวนการผลิตยาพอก หรือ ยาสุม

1. นำสมุนไพรตามสูตรตำรับมาทำความสะอาด จากนั้นนำมาหั่น สับ หรือโขลกให้แหลก เพื่อให้ตัวยา มีขนาดตามต้องการ

2. ผสมกระสาย (ถ้ามี) เช่น สุรา น้ำซาวข้าว

3. นำตัวยาพอกหรือสุมบริเวณที่ต้องการ หรือนำตัวยาห่อผ้าและนำมาพันบริเวณที่ต้องการ เช่น พันตัวยารอบหัวเข่า บรรเทาปวด

ยาประคบเป็นยาเตรียมแผนโบราณรูปแบบหนึ่ง ตำราโบราณให้วิธีการปรุงยาเตรียมรูปแบบนี้ไว้ว่าเตรียมจาก “ยาสดหรือแห้ง ประสมแล้ว ทำเป็นลูกประคบ” โดยการนำสมุนไพรหลายชนิดที่เป็นสมุนไพรสดหรือสมุนไพรแห้ง ผ่านกระบวนการทำความสะอาด นำมาหั่นให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ นำไปตำให้พอแหลกก่อนนำไปบรรจุรวมกันในผ้าให้เป็นรูปทรงต่างๆ ตามวัตถุประสงค์และตำแหน่งที่ต้องการใช้ลูกประคบ เช่น รูปทรงกลมใช้ประคบส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทรงหมอนใช้นาบบริเวณที่ต้องการ

ยาประคบ ใช้ประคบส่วนต่าง ๆ ของร่างกายควบคู่กับการนวดแผนไทย เพื่อรักษาและบรรเทาอาการเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น โดยสมุนไพรและความร้อนจากลูกประคบนั้น ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ แก้ปวดเมื่อย และยังทำให้รู้สึกสดชื่นจากกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยอีกด้วย

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำลูกประคบ

1. ผ้าสำหรับห่อสมุนไพรลูกประคบ ต้องเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าดิบที่มีเนื้อแน่นพอดี สามารถป้องกันไม่ให้ สมุนไพรร่วงออกมาจากผ้าได้

2. เชือกสำหรับมัดผ้าห่อลูกประคบ

3. สมุนไพรที่ใช้ต้องผ่านการทำความสะอาด ไม่มีเชื้อรา และต้องมีสมุนไพร 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

3.1 กลุ่มสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย เช่น ไพล ขมิ้นชัน ตะไคร้ มะกรูด
3.2 กลุ่มสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เช่น ใบมะขาม ใบส้มป่อย
3.3 กลุ่มสารแต่งกลิ่นหอม เช่น การบูร พิมเสน
3.4 เกลือ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและแก้อาการอักเสบได้ มีสมบัติดูดความร้อนทำให้ตัวยาสมุนไพรซึมได้เร็วขึ้น

กระบวนการผลิตลูกประคบ

1. นำสมุนไพรมาล้างทำความสะอาด หั่นเป็นชิ้นให้ได้ขนาดที่ต้องการ

2. นำสมุนไพรไปตำให้พอแหลก

3. เติมเกลือและการบูรลงไป ผสมให้เข้ากัน ระวังอย่าให้สมุนไพรที่ผสมแฉะเป็นน้ำ

4. นำสมุนไพรที่ผสมเรียบร้อยแล้ว ไปบรรจุในผ้าฝ้ายหรือผ้าดิบ ห่อเป็นลูกประคบมัดด้วยเชือกให้แน่น

ยาชงอาจอยู่ในรูปแบบของใบหรือผงยาสมุนไพร ปัจจุบันนิยมบรรจุอยู่ในซองขนาดต่าง ๆ เป็นรูปแบบยาสมุนไพรพร้อมชง เมื่อจะใช้ต้องนำมาแช่ในน้ำเดือดหรือน้ำกระสายยาเพื่อเป็นตัวทำละลาย ส่วนใหญ่ทำมาจากสมุนไพรแห้ง มีหลักการผลิตยาคล้ายกับการผลิตยาผง

กระบวนการผลิตยาชง

1. การทำให้แห้งก่อนนำไปย่อยขนาด มีหลักการปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.1 ต้องควบคุมบริเวณที่ปฏิบัติงานให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ มีอากาศถ่ายเทได้ดี ลดการปนเปื้อน จุลินทรีย์ มีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
1.2 ทำความสะอาดวัตถุดิบสมุนไพร และนำไปฆ่าเชื้อโดยการนึ่งหรือผ่านน้ำร้อนอย่างรวดเร็ว (heat shock) เพื่อลดปริมาณจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อน
1.3 นำไปย่อยขนาดให้เหมาะสมและมีความสม่ำเสมอกัน ก่อนนำไปทำให้แห้ง
1.4 นำ ไปทำให้แห้งโดยเร็วที่สุด เช่น นำไปอบ ตากแห้ง เพื่อป้องกันการเน่าเสียของสมุนไพร โดยใช้อุณหภูมิให้เหมาะสมกับสมุนไพรแต่ละชนิด เพื่อคงสรรพคุณ สี กลิ่น และรสยาของสมุนไพรนั้นไว้

2. การย่อยขนาดหรือการบดผงเป็นการลดขนาดอนุภาคของวัตถุดิบให้เล็กลง เครื่องมือที่นิยมใช้ในการลดขนาดวัตถุดิบ ได้แก่ เครื่องบดแบบค้อน ใช้บดสมุนไพรแห้ง และเครื่องบดแบบตัด ใช้บดสมุนไพรสดนอกจากเครื่องมือที่ใช้ในการบดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

2.1 ต้องควบคุมบริเวณที่ทำการบดให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ ลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ มีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
2.2 สมุนไพรที่นำไปย่อยต้องถูกชนิด ถูกส่วน สะอาด และไม่มีสารปนเปื้อนของหิน ดิน และทราย
2.3 สมุนไพรต้องผ่านการลดความชื้นก่อนนำมาลดขนาด โดยต้องมีความชื้นน้อยกว่าร้อยละ 5 ของความชื้นสมุนไพรแห้ง จะทำให้บดสมุนไพรได้ง่ายขึ้น
2.4 กรณีที่ต้องการบดผงยาให้ละเอียดมาก ไม่ควรบดขนาดให้ละเอียดในครั้งเดียว ควรใช้แร่ง ลดขนาดผงยาเป็นระยะ ๆ โดยเริ่มใช้แร่งเบอร์เล็กก่อนจากนั้นใช้แร่งขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนได้ขนาดตามที่ต้องการ
2.5 สมุนไพรที่มีเส้นใยสูง เช่น เถาวัลย์เปรียง ควรตัดหรือสับให้มีขนาดเล็กลงก่อนที่จะนำไปบด ด้วยเครื่องบด
2.6 กรณีที่ต้องบดสมุนไพรหลายชนิดรวมกัน เช่น ในตำรับยาหอม ให้ใส่สมุนไพรที่บดยากลงไปบด ก่อนตามลำดับ
2.7 อัตราการป้อนสมุนไพรเข้าเครื่องบดต้องสัมพันธ์กับความสามารถในการทำงานของเครื่องบด
2.8 การบดสมุนไพรให้ละเอียดมาก อาจเกิดความร้อนขณะบดขึ้นได้ จึงควรหยุดเครื่องบด เป็นช่วง ๆ เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้น
2.9 หากสูตรตำรับมีสมุนไพรหลายชนิด ต้องทำให้สมุนไพรแต่ละชนิดกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอกัน ก่อนนำไปบรรจุ หากใช้วิธีบดพร้อมกัน ต้องบดละเอียดให้มีขนาดอนุภาคที่เท่ากัน หากใช้วิธีแยกบด ต้องบดผ่านแร่งที่มีขนาดเดียวกันแล้วนำไปผสมในเครื่องผสมที่เหมาะสม

3. การบรรจุ

3.1 ห้องที่ทำการบรรจุต้องสะอาด มีการควบคุมความชื้น มีการฆ่าเชื้อที่เหมาะสม และควรบรรจุ ในห้องที่มีความดันอากาศเป็นบวก

3.2 เครื่องบรรจุสามารถบรรจุผงยาสู่ภาชนะบรรจุหรือซองชาชงได้ตามปริมาณที่กำหนดไว้

3.3 ภาชนะบรรจุต้องสะอาด สามารถเก็บรักษาผงยาสมุนไพรได้คงสภาพก่อนนำมาใช้

รูปแบบยาตำรับที่มีส่วนประกอบของตัวยาสมุนไพรในตำรับเป็นชนิดสด ปรุงขึ้นเพื่อกินหรือใช้ในทันทีมีวิธีการเตรียมที่ง่ายและใช้เวลาไม่มาก

กระบวนการผลิตยาสด

1. นำสมุนไพรตามสูตรตำรับมาทำความสะอาด จากนั้นหั่น สับ หรือโขลกให้แหลก เพื่อให้ยามีขนาดตามที่ต้องการ

2. นำตัวยาสมุนไพรมาตำหรือโขลกให้ละเอียด ละลายน้ำกระสายยาที่กำหนดก่อนใช้ยา และควรใช้ทันทีเมื่อปรุงยาเสร็จ

ยาดองเป็นยาเตรียมแผนโบราณไทยรูปแบบหนึ่ง ตำรายาโบราณให้วิธีการปรุงยาเตรียมรูปแบบนี้ไว้รวมกับยาชงว่า เตรียมจาก “ยาตากแห้ง ประสมแล้ว บดเป็นผงหยาบ แช่น้ำหรือดองเหล้า กินแต่น้ำ” ยาดองนี้เตรียมจากตัวยาแห้ง โดยอาจต้มแล้วดองกับน้ำหรือน้ำตัวยาสมุนไพรบางอย่าง ดองเกลือ หรือดองเหล้า

กระบวนการผลิตยาดอง

1. หั่นหรือสับตัวยาให้มีขนาดเล็ก แล้วผสมปรุงแต่งตามตำรับยา

2. นำมาบรรจุในภาชนะที่เหมาะสม เช่น ขวดโหล ไห โถ จากนั้นปิดฝาให้สนิท

3. เวลาที่ใช้ดองขึ้นอยู่กับตำรับยา หากตำราไม่ระบุไว้ให้ดองไว้ 3 วัน แล้วรินน้ำยาดองนั้นดื่มจนยาจืด หากยังจำเป็นต้องใช้ยานั้นอีก ให้เตรียมยาขึ้นใหม่ โดยเทตัวยาเก่าทิ้งไป ใช้ตัวยาใหม่แทน

ยาขี้ผึ้งเป็นยาเตรียมแผนโบราณรูปแบบหนึ่ง ตำรายาโบราณให้วิธีการปรุงยาเตรียมรูปแบบนี้ไว้ว่าเตรียมจาก “ยาประสมแล้ว ทำเป็นยากวนหรือยาขี้ผึ้งปิดแผล” ยาขี้ผึ้งเป็นรูปแบบยาใช้ภายนอก การเตรียมยาเป็นการต่อยอดมาจากการเตรียมยาน้ำมัน เป็นภูมิปัญญาไทยที่เอาตัวยาไม่ละลายน้ำเตรียมให้อยู่ในรูปน้ำมันแล้วเติมขี้ผึ้ง เพื่อให้เป็นรูปแบบกึ่งของแข็ง ในการเตรียมยาขี้ผึ้ง มีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ขี้ผึ้ง และตัวยาสำคัญ

ขี้ผึ้งมี 4 ประเภทหลัก

1. ขี้ผึ้งชนิดไฮโดรคาร์บอน (oleaginous base)มีองค์ประกอบเป็นไขล้วน ๆ ไม่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เมื่อทาจะมีลักษณะเป็นมันติดผิวหนัง ล้างออกยาก เช่น พาราฟินแข็ง (hard paraffin), พาราฟินนิ่ม (soft paraffin)

2. ขี้ผึ้งชนิดดูดน้ำ(absorption base)มีองค์ประกอบเป็นไข เมื่อทิ้งไว้จะดูดน้ำได้ เช่น ขี้ผึ้ง ไขแกะ

3. ขี้ผึ้งชนิดละลายน้ำ (water-soluble base)ละลายน้ำได้ ซึมเข้าผิวหนังได้ดี ไม่มีกลิ่นหืน เช่น พอลิเอทิลีนไกลคอล

4. ขี้ผึ้งชนิดอิมัลชัน (emulsifying base)มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เช่น ลาโนลิน

กระบวนการผลิตยาขี้ผึ้ง

วิธีที่ 1ผสมตัวยาลงไปในขี้ผึ้งพื้นที่หลอมเหลว

1. ละลายตัวยาสมุนไพรลงในขี้ผึ้งที่หลอมเหลว (หากตัวยาเป็นของแข็ง ต้องบดให้ละเอียด)
2. ทิ้งไว้ให้เย็นจนเกือบแข็งตัว
3. การผสมตัวยาลงไปตอนที่ขี้ผึ้งเย็นจนเกือบแข็งตัวแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเสื่อมสลาย ของตัวยา

วิธีที่ 2การบดผสมตัวยาในขี้ผึ้งพื้นที่แข็งตัว

1. ใช้โกร่งบดตัวยาให้ละเอียด (กรณีที่ผงยาไม่ละลายในขี้ผึ้งหรือละลายได้น้อย)
2. นำขี้ผึ้งมาบดผสมลงไป หลอมให้เข้ากัน
3. เมื่ออุณหภูมิของสารผสมขี้ผึ้งลดลงราว 40 องศาเซลเซียส หรืออุ่น ๆ ใกล้จะเริ่มแข็งตัว ให้เติม สารผสมลงในยาพื้น โดยเทแล้วกวนผสมให้เข้ากัน
4. แบ่งบรรจุในบรรจุภัณฑ์ในขณะที่ยาขี้ผึ้งยังอุ่นอยู่ ทิ้งไว้ให้แข็งตัว

ยาฝนเป็นวิธีการเตรียมยาสมุนไพรให้ยามีความละเอียด โดยการถูสมุนไพรบนหิน หรือฝาละมี ร่วมกับน้ำกระสายยา

กระบวนการผลิตยาฝน

1. สมุนไพรเป็นชิ้นขนาดปานกลาง

2. ฝนด้วยหินบดยา หินลับมีด หรือฝาละมี

3. กรองเอาน้ำ แล้วดื่มน้ำที่ได้จากการฝน

ยาทาเป็นรูปแบบยาใช้ภายนอก ตำรายาโบราณให้วิธีการปรุงยาเตรียมรูปแบบนี้ไว้ว่า เตรียมจาก“ยาสดหรือแห้ง ประสมแล้ว ใช้เป็นยาทา”

กระบวนการผลิตยาทา

1. ใช้ตัวยาสดหรือแห้ง ถ้าใช้ตัวยาสดให้หั่นเป็นชิ้นก่อน แล้วตำหรือสับหยาบ ๆ ส่วนตัวยาแห้งอาจบดหยาบ (ผ่านแร่งเบอร์ 60) ถึงละเอียดปานกลาง หยาบ (ผ่านแร่งเบอร์ 80)

2. นำมาผสมกันตามตำรับยา แล้วใส่บรรจุภัณฑ์

3. ทาบริเวณที่เป็น อาจใช้ร่วมกับน้ำกระสายยาตามที่ตำรับยาระบุไว้

Treat Symptoms | Thai Traditional Medicine

อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือรายการตำรับยาแผนไทยแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ.2564 (National Thai Traditional Medicine Formulary 2021 Edition)

ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยก่อนการใช้ยา

X